ประเภทและรูปแบบของถนนในประเทศไทย


สร้างเมื่อ 2024-11-21 08:29:31



ถนนคืออะไร

ถนน คือ เส้นทางหรือพื้นที่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้การเดินทางสัญจรเป็นไปได้โดยสะดวก โดยทั่วไปพื้นถนนจะออกแบบให้เหมาะสมกับการขับขี่ ซึ่งมีลักษณะเป็นพื้นผิวแข็งหรือวัสดุต่างๆ เช่น คอนกรีต ยางมะตอย หรือหินกรวด เพื่อให้การเดินทางสะดวกและปลอดภัยของยานพาหนะและผู้คน อีกทั้ง ถนนยังมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงสถานที่ต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นในเขตเมืองหรือชนบท ซึ่งช่วยให้การเดินทางไปมาระหว่างพื้นที่ต่างๆ เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การออกแบบถนนจะขึ้นอยู่กับการใช้งานและลักษณะของพื้นที่ เช่น ถนนในเขตเมืองจะมีการออกแบบเพื่อรองรับการจราจรที่หนาแน่นและการเดินทางของผู้คนในปริมาณมาก มักปูพื้นด้วยคอนกรีตหรือวัสดุที่ทนทานต่อการสึกหรอ เพราะเหมาะสำหรับการสัญจรด้วยรถยนต์และรถบรรทุก 

นอกจากนี้ ถนนยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยช่วยอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายผู้คนและสินค้าระหว่างพื้นที่ต่างๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของชุมชนและประเทศ

การแบ่งตามลักษณะการใช้งาน

ถนนสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 แบบหลักๆ ตามลักษณะการใช้งาน ได้แก่

  1. ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway)
    ถนนที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับการเดินทางของยานพาหนะที่มีความเร็วสูง เช่น รถยนต์และรถบรรทุก ให้เดินทางได้รวดเร็วเป็นพิเศษ มักใช้สำหรับการเดินทางระยะไกล 

  2. ทางหลวงแผ่นดิน (National Highway)
    ถนนสายหลักที่สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดหรือพื้นที่ต่างๆ ในประเทศ มักใช้สำหรับการเดินทางระยะไกลและเพิ่มความสะดวกในการเดินทางระหว่างภูมิภาคต่างๆ

  3. ทางหลวงชนบท (Rural Road)
    ถนนที่สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมโยงพื้นที่ชนบท มักใช้สำหรับการเดินทางระหว่างหมู่บ้านหรือตำบลที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากตัวเมืองใหญ่ 

  4. ถนนเทศบาล (Municipal Road)
    ถนนที่ถูกสร้างและดูแลโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มักใช้สำหรับการเดินทางภายในเขตเมืองหรือหมู่บ้าน และเชื่อมโยงพื้นที่ต่างๆ ภายในท้องถิ่นเดียวกัน

  5. ถนนท้องถิ่น/ถนนหมู่บ้าน (Local Road)
    ถนนที่สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมโยงภายในชุมชนหรือหมู่บ้านต่างๆ โดยส่วนใหญ่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะมีหน้าที่ในการดูแลและบำรุงรักษาถนน

การแบ่งตามลักษณะพื้นผิวถนน

ถนนสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 แบบ ตามลักษณะพื้นผิวถนน ได้แก่

  1. ถนนคอนกรีต
    ถนนที่มีการใช้คอนกรีตเป็นวัสดุหลักในการสร้างพื้นผิวของถนน มักถูกใช้ในพื้นที่ที่ต้องการความทนทานสูงและสามารถรับน้ำหนักของยานพาหนะที่มีความหนักได้ดี

  2. ถนนลาดยาง
    ถนนที่มีการใช้ยางมะตอย (แอสฟัลต์) เป็นวัสดุปูพื้นผิวของถนน เพื่อสร้างความราบเรียบและแข็งแรง สามารถรับน้ำหนักของยานพาหนะที่มีความหนักได้ดี

  3. ถนนลูกรัง
    ถนนที่มีพื้นผิวที่ทำจากหินกรวดที่ไม่ผ่านการปรับปรุงให้แข็งแรงเหมือนถนนประเภทอื่นๆ มักใช้ในพื้นที่ชนบทที่มีการเดินทางไม่หนาแน่นมาก 

  4. ถนนดิน
    ถนนที่มีพื้นผิวที่ทำจากดินหรือทรายธรรมชาติ มักพบในพื้นที่ชนบทหรือพื้นที่ห่างไกล ใช้สำหรับการเดินทางที่ไม่หนาแน่นหรือในพื้นที่ที่การพัฒนาถนนยังไม่ครอบคลุม

  5. ถนนหินคลุก
    ถนนที่มีพื้นผิวที่ทำจากหินหรือกรวดขนาดเล็กที่คลุกเคล้ากับทรายและวัสดุอื่นๆ มักใช้ในพื้นที่ชนบทที่การเดินทางไม่หนาแน่น 

การแบ่งตามขนาดช่องจราจร

ถนนสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 แบบ ตามขนาดช่องจราจร ได้แก่

  1. ถนนขนาด 8 ช่องจราจร
    ถนนที่มีช่องทางเดินรถทั้งหมด 8 ช่อง โดยทั่วไปจะมีช่องทางสำหรับรถยนต์และรถบรรทุก เพื่อรองรับการจราจรที่หนาแน่นและเพิ่มความสะดวกในการเดินทาง เช่น ทางหลวงหมายเลข 304 สายอำเภอบางคล้า - อำเภอพนมสารคาม 

  2. ถนนขนาด 6 ช่องจราจร
    ถนนที่มีช่องทางเดินรถทั้งหมด 6 ช่อง โดยแบ่งเป็นช่องทางสำหรับการเดินทางในทิศทางต่างๆ ซึ่งมักใช้ในพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น เช่น ทางหลวงหมายเลข 3 สายบางปู-อำเภอบางปะกง

  3. ถนนขนาด 4 ช่องจราจร
    ถนนที่มีช่องทางเดินรถทั้งหมด 4 ช่อง โดยแบ่งเป็น 2 ช่องทางในแต่ละทิศทาง เพื่อรองรับการจราจรที่ไม่หนาแน่นมากให้สามารถเดินทางได้คล่องตัว

  4. ถนนขนาด 2 ช่องจราจร
    ถนนที่มีช่องทางเดินรถทั้งหมด 2 ช่อง โดยแบ่งเป็น 1 ช่องทางสำหรับการเดินทางในแต่ละทิศทาง เหมาะสำหรับการเดินทางที่มีการจราจรที่ไม่หนาแน่นมาก และมักใช้ในเขตชนบทหรือพื้นที่ที่การจราจรไม่คับคั่ง

  5. ถนนขนาด 1 ช่องจราจร
    ถนนที่มีช่องทางเดินรถเพียง 1 ช่องทางในแต่ละทิศทาง โดยมักใช้ในพื้นที่ที่มีการจราจรเบาบาง เช่น ในหมู่บ้านหรือทางหลวงที่มีการใช้งานไม่หนาแน่น

การแบ่งตามหน่วยงานที่รับผิดชอบ

ถนนสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 แบบ ตามหน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้แก่

  1. ถนนในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง
    ถนนที่อยู่ภายใต้การดูแลและบำรุงรักษาของกรมทางหลวง ซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างและดูแลทางหลวงหลักที่เชื่อมโยงระหว่างจังหวัดและระหว่างภาคต่างๆ 

  2. ถนนในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงชนบท
    ถนนที่กรมทางหลวงชนบทรับผิดชอบในการก่อสร้างและบำรุงรักษา ซึ่งถนนเหล่านี้มักอยู่ในพื้นที่ชนบท โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงหมู่บ้านหรือพื้นที่ต่างๆ ระดับท้องถิ่นเข้าด้วยกัน

  3. ถนนในความรับผิดชอบของเทศบาล
    ถนนที่อยู่ภายใต้การดูแลและบำรุงรักษาของเทศบาล ซึ่งมีหน้าที่ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเขตเมืองหรือหมู่บ้าน โดยถนนเหล่านี้มักอยู่ในเขตเมืองหรือชุมชนหรือหมู่บ้านที่ครอบคลุมในเขตเทศบาล

  4. ถนนในความรับผิดชอบของ อบจ.
    ถนนที่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) รับผิดชอบดูแลและบำรุงรักษา ซึ่งมีหน้าที่ในการพัฒนาและดูแลโครงสร้างพื้นฐานระดับจังหวัด โดยถนนเหล่านี้มักอยู่ในเขตเมืองใหญ่

  5. ถนนในความรับผิดชอบของ อบต.
    ถนนที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) รับผิดชอบดูแลและบำรุงรักษา ซึ่งมีหน้าที่ในการพัฒนาและดูแลโครงสร้างพื้นฐานระดับตำบล โดยถนนเหล่านี้มักอยู่ในพื้นที่ชนบทหรือหมู่บ้านที่ไม่ครอบคลุมในเขตเทศบาล

การแบ่งตามลักษณะภูมิประเทศ

ถนนสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 แบบ ตามลักษณะภูมิประเทศ ได้แก่

  1. ถนนในพื้นที่ราบ
    ถนนที่สร้างขึ้นในพื้นที่ที่ไม่ชันหรือขรุขระ เช่น พื้นที่ที่เป็นที่ราบลุ่ม หรือดินสภาพผิวเรียบ มักมีการออกแบบเพื่อรองรับการจราจรในระยะยาว 

  2. ถนนในพื้นที่ภูเขา
    ถนนที่ขึ้นในพื้นที่ที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาหรือเทือกเขา โดยมักมีลักษณะคดเคี้ยวและลาดชัน เพื่อเชื่อมต่อพื้นที่ที่มีความสูงชันหรือภูมิประเทศที่มีความขรุขระ

  3. ถนนในเขตเมือง
    ถนนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เมืองหรือเขตชุมชนที่มีความหนาแน่นของประชากร โดยมักมีลักษณะหลายช่องทางเพื่อรองรับการจราจรที่หลากหลาย

  4. ถนนในเขตชนบท
    ถนนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ชนบท โดยมักมีการจราจรที่เบาบางและมีการใช้งานน้อยกว่าถนนในเมือง และมีลักษณะพื้นผิวที่หลากหลาย เช่น ถนนลูกรัง ถนนดิน ถนนคอนกรีต หรือถนนลาดยาง 

  5. ถนนในพื้นที่พิเศษ (เช่น เขตอุทยาน)
    ถนนที่สร้างขึ้นเพื่อให้การเข้าถึงพื้นที่พิเศษ ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นถนนลาดยางหรือหินคลุก และมักมีการควบคุมการใช้งานอย่างเข้มงวด

การแบ่งตามความเร็วในการใช้งาน

ถนนสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 แบบ ตามความเร็วในการใช้งาน ได้แก่

  1. ถนนความเร็วสูง (100-120 กม./ชม.)
    ถนนที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการเดินทางด้วยความเร็วสูง โดยมีความเร็วที่อนุญาตให้ขับขี่ได้ระหว่าง 100-120 กม./ชม. ซึ่งมักจะเป็นถนนที่เชื่อมโยงระหว่างเมืองหรือระหว่างจังหวัด มีลักษณะการออกแบบที่เน้นความปลอดภัยและการเดินทางที่รวดเร็ว 

  2. ถนนความเร็วปานกลาง (80-90 กม./ชม.)
    ถนนที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการเดินทางด้วยความเร็วประมาณ 80-90 กม./ชม. ซึ่งมักเป็นถนนสายหลักที่เชื่อมต่อระหว่างอำเภอ จังหวัด หรือพื้นที่สำคัญในภูมิภาค โดยมีความปลอดภัยและความสะดวกในการขับขี่ในระดับที่เหมาะสมกับปริมาณจราจรปานกลาง

  3. ถนนความเร็วต่ำ (30-50 กม./ชม.)
    ถนนที่ออกแบบให้รองรับการเดินทางด้วยความเร็วประมาณ 30-50 กม./ชม. ซึ่งมักพบในเขตชุมชน หมู่บ้าน หรือพื้นที่ที่มีผู้คนอยู่หนาแน่นและมีผู้ใช้ถนนหลากหลาย โดยมีลักษณะเป็นถนนขนาดเล็กถึงปานกลาง 

การแบ่งตามลักษณะการออกแบบ

ถนนสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 แบบ ตามลักษณะการออกแบบ ได้แก่

  1. ถนนสายหลัก
    ถนนที่เป็นเส้นทางหลักในการเดินทางระหว่างเมือง จังหวัด หรือภูมิภาคต่างๆ มีการออกแบบให้รองรับการจราจรที่หนาแน่นและการเดินทางระยะไกล มักมีหลายช่องจราจร และอนุญาตให้ขับขี่ด้วยความเร็วสูง

  2. ถนนสายรอง
    ถนนที่ใช้เชื่อมต่อถนนสายหลักกับพื้นที่ย่อย โดยทำหน้าที่กระจายการเดินทางจากถนนสายหลักไปยังจุดหมายในพื้นที่ต่างๆ มักมีการจราจรที่เบาบางและถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับการเดินทางในระยะใกล้

  3. ถนนสายย่อย
    ถนนที่ใช้เชื่อมต่อกับถนนสายรองหรือถนนสายหลัก เพื่อเข้าถึงพื้นที่เฉพาะ โดยมักมีการจราจรที่เบาบางมากและรองรับการเดินทางในระยะใกล้หรือภายในพื้นที่จำกัด

  4. ถนนซอย
    ถนนขนาดเล็กที่แยกออกมาจากถนนสายหลักหรือสายรอง เพื่อเชื่อมต่อกับพื้นที่ย่อย โดยมักใช้สำหรับการเดินทางภายในพื้นที่ที่มีการอยู่อาศัยหนาแน่นหรือในเขตเมือง

  5. ถนนคนเดิน/ทางเท้า
    ถนนที่ออกแบบมาเพื่อการเดินเท้าของผู้คนโดยเฉพาะ โดยไม่มีหรือมีการจำกัดการใช้ยานพาหนะ เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกของคนเดินเท้า มักพบในพื้นที่ชุมชน เขตเมือง หรือพื้นที่การท่องเที่ยว

 


เฟสบุ๊ค